วิธีเจริญอนิมิตตะเจโตสมาธิ
๑. ไหว้พระ
๒. ตั้งนะโม ๓ จบ
๓. ไตรสรณคม พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ฯลฯ
๔. เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ (อิติปิ โส) เป็นต้น
คำสมาทานพระกรรมฐาน
อุกาสะ อุกาสะ ณ โอกาสบัดนี้ ข้าพเจ้าขอสมาทานเอาซึ่ง พระกรรมฐาน ขอขณิกะสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ และวิปัสสนาญาณ ขอจงบังเกิดขึ้น ในขันธสันดานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้า จะตั้งสติกำหนดไว้ ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ สามหนและเจ็ดหน ร้อยหนและพันหน ด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฯ
คำอธิฐานก่อนเจริญ “อนิมิตตะเจโตสมาธิ”
สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้า ดับสนิทแน่นิ่งอยู่ใน “อนิมิตตะเจโตสมาธิ” เป็นเวลา ๑๕ นาที พร้อมกันนี้ ขอให้โรคภัยไข้เจ็บ ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ในร่างกายนี้ หายไป ดับไป สิ้นไป สูญไป จากขันธสันดานของข้าพเจ้า อย่าได้กลับเกิดขึ้นมาอีก และขอให้ข้าพเจ้าจงมี อายุ ยืนยาวนาน ตลอดถึงกัปป์ หรือเกินกว่ากัปป์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เทอญ ฯ
คำบริกรรม
นึกบริกรรมว่า “จิตตัง นิพพานัง อะนิมิตตังๆ” เรื่อยไป โดยเอาสติตั้งไว้ที่ ท้องพอง ท้องยุบ หรือ ปลายจมูก ก็ได้ ที่จิต หรือ ที่ทุกขเวทนา ก็ได้ นึกบริกรรมภาวนาเรื่อยไปจนกว่า จะขาดความรู้สึก หรือได้เวลาที่อธิษฐานไว้ ฯ
หมายเหตุ ถ้านั่ง ๓๐ นาที, ๑ ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ขอให้อธิษฐานเพิ่มขึ้นตามต้องการ ขอให้เพียรภาวนาทุกๆ วัน ถ้านั่งลำบากให้นอนเอา แล้วนึกบริกรรมภาวนาเรื่อยไปจนกว่าจะหลับ รู้สึกตัวขึ้นมาให้ภาวนาต่อไปจนกว่าจะได้เวลาที่อธิษฐานเอาไว้ ฯ
หลักวิธีปฏิบัติที่จะทำให้เข้าสมาธิ หรือเข้าฌานได้นานๆ พึงปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑. เมื่อโยคีผู้ปฏิบัติธรรมคนใดสามารถเข้าสมาธิ หรือเข้าฌานได้ครบ ๑ ชั่วโมงแล้ว ถ้ามีความประสงค์จะฝึกเข้าฌาน ให้จิตแช่อยู่ในอารมณ์ของเรือนแก้ว คือฌานนั้นให้นานยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อจะให้สำเร็จประโยชน์อันตนพึงประสงค์จากสมาธิ หรือฌาน เป็นต้นนั้น ให้ฝึกเข้าสมาธิให้ได้ ๑ ชั่วโมง เสียก่อน แล้วฝึกให้ชำนิชำนาญจนสามารถเข้าได้ตามต้องการ ออกได้ตามต้องการ ไม่ให้ออกก่อน และไม่ให้เลยเวลา และเมื่อสามารถทำได้ครบ ๑ ชั่วโมง สมบูรณ์ดีอย่างนี้แล้ว วันหลัง (วันถัดมา) ให้เดินจงกรมให้ครบ ๑ ชั่วโมง แล้วนั่งอธิษฐานจิต ว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้าดับสนิทแน่นิ่งไป ๒ ชั่วโมง”
๒. เมื่อสามารถทำได้ครบตามกำหนด ๒ ชั่วโมง สมบูรณ์ดีอย่างที่กล่าวมาในข้อ ๑ แล้ว ให้หล่อเลี้ยงสมาธิ (รักษาสมาธิ) ไว้ ๒ วัน ด้วยการรักษาสติ อารมณ์ไว้ โดยการกำหนดสติให้ทันปัจจุบันธรรม ตัดอารมณ์ที่เป็นอดีต และอนาคตทิ้ง เรียกว่า สำรวมอินทรีย์ และทำความเพียรตามปกติธรรมดา เพียงแต่ไม่ให้อธิษฐาน
๓. เมื่อเลี้ยงสมาธิไว้ครบตามกำหนด ๒ วันแล้ววันหลังให้เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง แล้วนั่งอธิษฐานจิต ว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้าดับสนิทแน่นิ่งไป ๓ ชั่วโมง”
เมื่อสามารถทำได้ครบตามกำหนด ๓ ชั่วโมงสมบูรณ์ดีแล้วให้หล่อเลี้ยงสมาธิไว้ ๔ วัน โดยรักษาสติอารมณ์ ปฏิบัติไปตามปกติธรรมดา เหมือน ข้อ ๒
๔. เมื่อเลี้ยงสมาธิไว้ครบตามกำหนด ๔ วันสมบูรณ์ดีแล้วให้เริ่มปฏิบัติต่อได้ โดยเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง แล้วนั่งอธิษฐานจิต ว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้าดับสนิทแน่นิ่งไป ๖ ชั่วโมง”
เมื่อสามารถทำได้ครบตามกำหนด ๖ ชั่วโมงสมบูรณ์ดีแล้วให้หล่อเลี้ยงสมาธิไว้ ๕ วัน โดยรักษาสติอารมณ์ไว้ ปฏิบัติไปตามปกติธรรมดา เหมือน ข้อ ๒
๕. เมื่อเลี้ยงสมาธิไว้ครบตามกำหนด ๕ วันสมบูรณ์ดีแล้วให้เริ่มปฏิบัติต่อได้ โดยเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง แล้วนั่งอธิษฐานจิต ว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้าดับสนิทแน่นิ่งไป ๑๒ ชั่วโมง”
เมื่อสามารถทำได้ครบตามกำหนด ๑๒ ชั่วโมงสมบูรณ์ดีแล้วให้หล่อเลี้ยงสมาธิไว้ ๗ วัน โดยรักษาสติอารมณ์ไว้ ปฏิบัติไปตามปกติธรรมดา เหมือน ข้อ ๒
๖. เมื่อเลี้ยงสมาธิไว้ครบตามกำหนด ๗ วันสมบูรณ์ดีแล้วให้เริ่มปฏิบัติต่อได้ โดยเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง แล้วนั่งอธิษฐานจิต ว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้าดับสนิทแน่นิ่งไป ๒๔ ชั่วโมง” แล้วนั่งสมาธิไปจนครบ ๒๔ ชั่วโมง
เมื่อสามารถทำได้ครบตามกำหนด ๒๔ ชั่วโมงสมบูรณ์ดีแล้วพยายามฝึกให้ชำนิชำนาญ ให้เข้าได้ตามต้องการ ออกได้ตามต้องการ ไม่ให้ออกก่อน และไม่ให้เลยเวลา เมื่อทำบ่อยๆ จนชำนิชำนาญได้ที่แล้ว นั่งเข้าสมาธิไป ๒๔ ชั่วโมง ก็เท่ากับเราเข้าสมาธิไปแค่ ๕ นาที เมื่อชำนาญในการเข้า การทรงอยู่ในสมาธิ และการออกจากสมาธิสมบูรณ์ดีแล้ว หากปรารถนาจะฝึกเข้าสมาธิ ๓ วัน, ๔ วัน, ๕ วัน หรือครบ ๗ วัน ก็ให้ปฏิบัติเหมือนดั่งที่กล่าวมาแล้ว แต่ให้เลี้ยงสมาธิไว้ให้นานๆ หน่อย คือ ๑๕ วัน หรือ ๑ เดือน พยายามหาเวลาอธิษฐานเข้าสมาธินานๆ ตามเวลาที่ตนต้องการสักครั้งหนึ่ง
สมาธินี้ต้องฝึกเข้าบ่อยๆ ฝึกออกบ่อยๆ เพื่อให้ได้ความละเอียดอ่อนของสมาธิ และความคล่องแคล่วชำนาญในวสีทั้ง ๕ คือ ชำนาญในการนึก ชำนาญในการเข้า ชำนาญในการอธิษฐาน ชำนาญในการออก ชำนาญในการพิจารณา เมื่อสามารถทำได้อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็จะเป็นเหตุให้จิตของผู้นั้นมีพลัง มีอำนาจ มีอานุภาพ มีสมรรถนะสูง พร้อมที่จะยังประโยชน์ ให้เกิดขึ้น และใช้ให้สำเร็จประโยชน์ตามความประสงค์ที่ตนอธิษฐานจิตไว้ ตามเหตุตามปัจจัยแห่งกำลังสมาธิของตนๆ